Translate

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของอิตาลีกัน




เมืองเวนิส (Venice) หรือ เมืองเวเนเซีย (Venezia) หนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่รู้จักกันในด้านของความเจริญรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์และศิลปะ ที่ได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)... โดยเมืองเวนิส นั้นเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (Veneto) 1 ใน 20 แคว้นที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี และยังเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศ เป็นแคว้นที่มีความมั่งคั่งและเป็นแหล่งอุตสาหกรรมมากที่สุดในประเทศอิตาลี และยังเป็นแคว้นหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย

                เมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมหมู่เกาะขนาดเล็กประมาณ 118 เกาะเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย (Venetian Lagoon) ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ (Po and the Piave Rivers) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก (Adriatic Coast) ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี โดยทั้งเมืองและทะเลสาบได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1987 
วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของสิงค์โปรกัน





ประเทศที่เล็กที่สุดในภูมิภาคแต่กลับมีประชากรหนาแน่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นประเทศที่มีท่าเรือท่าอากาศที่ถือเป็นอันหนึ่งในโลกประเทศหนึ่งซึ่งส่งผลให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยประเทศหนึ่งในโลก เห็นอันหนึ่งในหลายๆด้านอย่างนี้แน่นอนว่าประเทศสิงคโปร์ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่งด้วยเช่นกัน

สิงคโปร์(Singapore) พัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้าโดยเป็นพ่อค้าคนกลาง ทำให้มีฐานะทางด้านเศรษฐกิจในโลกที่ดี ถึงแม้ว่าจะขาดทรัพยากรอยู่หลายๆอย่างก็ตาม ทางด้านการท่องเที่ยวก็จำต้องมุ่งเน้นไปที่ความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม ความสวยงามของบรรยากาศยามค่ำคืน สิ่งประดิษฐ์ รวมถึงสถาปัตยกรรมที่ทำให้นักท่องเที่ยวแห่แหนกันเข้ามาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในสิงคโปร์
วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของมาเลเซียกัน



เมืองมะละกา (Malacca)   เมืองเก่าซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ เป็นเมืองท่าสำคัญที่มีการติดต่อค้าขายหรือเป็นเมืองเศรษฐกิจจนได้รับฉายาว่า Golden Age หรือขวานทอง เป็นต้นเหตุต่อการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมาเลเซียอยู่หลายครั้งหลายหน มีมรดกตกทอดทางสถาปัตยกรรมของชาติยุโรปอยู่หลายแห่ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ของมาเลเซีย
วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของจีนกัน


กู้กง
กู้กงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า紫禁城  "จื่อจิ้นเฉิง" หรือพระราชวังต้องห้ามเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1420 ในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นพระราชวังประจำสองราชวงศ์ ได้แก่ราชวงศ์หมิงและชิง กู้กงเป็นพระราชวังที่ประทับและว่าราชการของราชสำนักที่ใหญ่ที่สุดในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง กู้กงสร้างอยู่บนเส้นแกนแนวเหนือจรดใต้เส้นกลางของเมือง โดยมีการขุดคูเมืองลึก 6 เมตรและสร้างกำแพงสูง 10 เมตรล้อมรอบบริเวณพระราชวังไว้
กู้กงเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างอย่างสง่างามและยิ่งใหญ่ ภายในพระราชวังประกอบด้วยห้องต่างๆ กว่า 9,000 ห้องห้องเหล่านี้ล้วนมีโครงสร้างที่ทำจากไม้ หลังคากระเบื้องแก้วสีเหลือง ฐานหินสีขาวอมเขียว และประดับประดาด้วยภาพสีเหลืองทองอร่าม
นอกจากนี้ยังมีการแกะสลักรูปมังกรซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิตามพระที่นั่งต่างๆ ตรงตำแหน่งที่เห็นเด่นชัดอีกด้วย พระที่นั่งภายในพระราชวังทั้งหมดสร้างอยู่บนแนวเส้นแกนกลางจากทิศเหนือจรดใต้ โดยปีกของพระที่นั่งแผ่ออกไปสองข้าง แลดูเป็นแนวตรงจากเหนือจรดใต้และมีความสมดุลทั้งสองข้างซ้ายขวา บนแนวเส้นแกนกลางซึ่งปูด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นทางเชื่อมระหว่างพระที่นั่งสำคัญภายในพระราชวัง ทางเชื่อมนี้สร้างไว้สำหรับเป็นทางเดินของจักรพรรดิเท่านั้น
วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของทิเบตกัน




วังโปตาลาเริ่มสร้างในศตวรรษที่ ๗ รัชสมัยพระเจ้าสรองสันคัมโป และได้มาสร้างเพิ่มเติมในศตวรรษที่ ๑๗ สมัยของทะไลลามะองค์ที่ ๕ วังนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ซึ่งในเวลานั้น วังโปตาลาถือว่าเป็นวังที่สูงที่สุดในโลก วังโปตาลานี้ถือว่ามีความสวยงามมาก หลังคาพุทธวิหารประดับด้วยกระเบื้องทองคำ และมีพระเจดีย์ล้อมด้วยทองคำเรียงรายกันอยู่บนชั้นสูงสุด  วังนี้ใช้เป็นที่ประทับขององค์ทะไลลามะ และบริเวณใกล้เคียงมีวิทยาลัยการแพทย์ตั้งอยู่

วังโปตาลาถือเป็นวังที่ศักดิ์ของชาวทิเบต เพราะแม้แต่ในขณะชาวทิเบตเดินผ่านและมองเห็นยอดพุทธวิหารทองคำของวังนี้ก็จะคุกเข่าลงกราบพร้อมด้วยสวดมนต์ด้วยแรงศรัทธา
วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของภูฏานกัน





 สถาปัตยกรรมจากปรัชญาชีวิต
                วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวภูฏานยังคงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น ที่บอกเล่าปรัชญาชีวิตของชาวภูฏาน ซึ่งให้ความเคารพกับธรรมชาติและเน้นความผสมกลมกลืนกับจักรวาลตามหลักศาสนาฮินดู ผสานเข้ากับความเรียบง่ายในวิถีพุทธ ซึ่งสามารถเห็นได้ตลอดการเดินทางในภูฏาน อาทิ ป้อมปราการที่พบเห็นได้ตามหุบเขาและยังคงใช้ประโยชน์อยู่ในปัจจุบัน ที่มีจุดเด่นคือ การสร้างโดยไม่มีแปลนหรือแบบร่าง และแม้การออกแบบของป้อมปราการแต่ละแห่งจะแตกต่างกัน แต่การวางผังจะเป็นแบบเดียวกัน คือเป็นรูปวงกลมสัญลักษณ์ของจักรวาลในศาสนาฮินดู



วันนี้เราจะมาแนะนำสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นกัน


ปราสาทฮิเมจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่างๆในบริเวณปราสาทถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น และรอบๆปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท
          จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่างๆในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิเมจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆจึงยังไม่เคยถูกใช้งาน